1
ตึ่ง ตึง ตึ๊งงง
เสียงระฆังดังทุ่มกังวาน บ่งบอกเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เสียงคุยกันดังระงม นักเรียนทยอยกันเก็บของก่อนที่จะจับกลุ่มกันเดินออกไป
แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องผ่านกระจก เผยให้เห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังเก็บของเข้ากระเป๋าพลางหาววอด เขาเอามือข้าที่มีผ้าพันแผลเสยผมสีดำสนิทขึ้นเผยให้เห็นหน้าเนียนใส ดวงตาสีทองปนส้มมองรอบห้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงรีบออกจากห้องไป
เด็กหนุ่มรีบเดินออกจากโรงเรียน ก่อนที่จะเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาเดินเข้าไปในป่าและเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ซึ่งถ้าคนธรรมดาจะไม่สังเกตุเห็นภูติ ตัวเล็กๆเกาะและปีนป่ายไปตามตัวของเด็กหนุ่ม พวกมันพึมพำเสียงเบาๆ แต่ทำเอาเด็กหนุ่มเหงื่อผุด
''ช่างน่ากินอะไรเช่นนี้ หึหึ"
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย เขาแหวกหญ้าที่รกถึงหัวเขาออกอย่างทุลักทุเล จนเมื่อมาถึงจุดหมาย มีศาลเจ้าเก่าๆ ซึ่งพอจะให้คนอาศัยได้ ตั้งอยู่ พวกภูติจึงสลายหายไป เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่จะเดินเข้าไปในศาลเจ้า เด็กหนุ่มนำกระเป๋านักเรียนที่กำไว้จนเหงื่อชุ่มวางพิงกับกำแพงไว้ ก่อนที่จะล้มลงอย่างเหนื่อยหน่าย
เด็กหนุ่มนอนหงายก่อนที่จะ ชูมือข้างที่พันผ้าพันแผลขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่จะค่อยๆแกะมันออก เผยให้เห็นเส้นเลือดหลังมือที่เรียงตัวกันเป็นรูปแมลงป่องอยู่ข้างหลังมือ เด็กหนุ่มมองไปยังรูปแมลงป่องหลังมือ แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เขาหยิบกระบอกไม้ไผ่กระบอกหนึ่งมีตะเกียบสีแดงที่มีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นเขียนเป็นชื่อ'กิง'ของเขาเองอยู่เต็มกระบอก ก่อนที่จะหยิบมาอันหนึ่งและมองมันอยู่สักพัก เด็กหนุ่มนึกถึงสมัยเมื่อตอนที่ปู่ของเขายังอยู่ ท่านได้ทำตะเกียบนี้ขึ้นมาและบอกให้เด็กหนุ่มเก็บไว้ตลอด ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าปู่ของเขาให้สิ่งนี้มาเพื่ออะไร
เด็กหนุ่มพลิกตัวไปมาบนพื้นจนผมยุ่งกระเซอะกระเซิงไปหมด เขามองตะเกียบแล้วลองจินตนาการไปว่ามันอาจใช้กำจัดภูติผีได้ก็ได้เพราะเขามีพลังวิญญานสูง และสามารถมองเห็นปีศาจได้ จึงทำให้ไม่ดีต่อชีวิตและสุขภาพจิตเท่าไหร่นัก
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงนำตะเกียบสีแดงหนีบเข้าที่ง่ามนิ้วหลังมือขวาซึ่งมีเส้นเลือดเป็นเลือดแมลงป่องอยู่ เด็กหนุ่มหัวเราะหึหึและปาตะเกียบสีแดงขึ้นบนฟ้าเบาๆ แค่ปาไปเบาๆเท่านั้นตะเกียบกลับพุ่งขึ้นทะลุหลังคาของศาลเจ้าไป
เด็กหนุ่มอ้าปากเหวอ รีบลุกขึ้นแล้วมองตรงขึ้นไปยังลอยทะลุของตะเกียบที่เขาพึ่งปาไปเมื่อกี้ เด็กหนุ่มค่อยๆย่องเดินไปยังรอยทะลุนั้น และมองดูอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประหลาด
''ตูมมม!!!!''
''ว๊ากกกกกกก!!!"
ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นอยู่ซักพัก เด็กหนุ่มไอแค่กๆ เมื่อฝุ่นจางลงจึงเผยให้เห็นร่างที่นอนชักกระตุกอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มมองขึ้นไปบนหลังคาซึ่ง ณ บัดนี้ได้เป็นรอยโหว่กว้างจนแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามา
เด็กหนุ่มค่อยๆเดินไปยังร่างที่นอนชักกระตุกอยู่ในศาลเจ้า และเอาเท้าเขี่ยๆไปมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
"แก...แก..."
ร่างที่นอนชักกระตุกอยู่บนพื้นเริ่มขยับปากพึมพำและลุกขึ้นมา รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน เด็กหนุ่มตกใจจนล้มนั่งและมองภาพตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ร่างของผู้หญิงใส่หน้ากากประหลาดสวมชุดกิโมโน และมีผ้าพันแผลพันทึบบนหัวถ้าสังเกตดีๆจะเห็นตะเกียบสีแดงที่มีชื่อของเด็กหนุ่มปักอยู่กลางหน้าผาก เธอปล่อยรังสีอำมหิต พร้อมกับคลานมาอย่างช้าๆ
เด็กหนุ่มเหงื่อตก ขยับถอยหลังไปอย่างช้าๆ เธอขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เด็กหนุ่มจึงจะลุกขึ้นแต่เธอจับขาของเขาไว้ จึงทำให้เด็กหนุ่มล้มลง และร้องอย่างหวาดกลัว
''อ๊ากกกก! ปล่อยนะ! แกเป็นตัวอะไรเนี่ย!''
เด็กหนุ่มพยายามแกะมืออันเย็นเฉียบนั้นออก แต่ไม่ได้ผล เธอพยายามพึมพำอะไรบางอย่าง
''ขะ..ขอ..ข้าวหน่อย อั่ก"
"โป๊ก"
เสียงไม้กระทบกับศรีษะของเธอ เด็กหนุ่มหอบหายใจหนัก ในมือกำไม้หน้าสามจนเหงื่อชุ่ม มองร่างที่แน่นิ่งตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เขาได้ยินคำขอของหล่อน จึงรีบนำกับข้าวมาให้ เด็กหนุ่มนำจานข้าวไปไว้ตรงหน้าเธออย่างกล้าๆกลัวๆ
"กินก่อนนะค่ะ!!"
"เฮือก!?"
เด็กหนุ่มใจหายวาบเพราะร่างตรงหน้าจู่ๆก็ลุกขึ้นมา ผิดกับสภาพเมื่อตะกี้ เขาจึงกระโดดหยงออกจากเธอจนตัวติดกับกำแพง เธอถอดหน้ากากออกและรีบกินข้าวที่เขานำมาให้อย่างเอร็ดอร่อยเผยให้เห็นใบหน้าเนียนใสสวย บนใบหน้ามีรอยประหลาด มีดวงตาสีแสดและใบหน้าอันแน่นิ่ง บ่งบอกถึงความเบื่อโลก
''อิ่มแล้วล่ะ บ๊ายบี''
เมื่อเธอกินเสร็จจึงหยิบหน้ากากมาสวมบนใบหน้าเหมือนเดิม และจู่ๆก็มีวงสีม่วงๆเกิดขึ้นบนท้องฟ้า มีเชือกที่ผูกตรงปลายให้เป็นวงไว้ตรงปลาย มาคล้องคอเธอและนำตัวไปในที่สุด
''อะ..อะไรน่ะ?"
เด็กนุ่มอ้าปากหวออีกรอบสองช็อกไปสักครู่ ก่อนที่จะมารู้สึกตัวอีกทีก็ดึกแล้ว แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เหลือให้แต่ความมืดในยามวิกาล..
ความคิดเห็น